เต รีย มรับ เงิ นช่ว ยเห ลื อ

การไฟฟ้านครหลวง MEA เปิดบริการ ผัด ผ่อน ชำระค่าไฟฟ้า ผ่านช่องทางออนไลน์ บรรเทาผลกระทบช่วงโควิด 19
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา การไฟฟ้านครหลวง (MEA) เปิดบริการ “ผัด-ผ่อนชำระค่าไฟฟ้า” ผ่านช่องทางออนไลน์ สะดวก รวดเร็ว ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนผู้ใช้ไฟฟ้า ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท (ยกเว้นราชการ-รัฐวิสาหกิจ) สามารถลงทะเบียน ผัด-ผ่อน ชำระค่าไฟฟ้าผ่านระบบออนไลน์ ตามเงื่อนไขที่การไฟฟ้านครหลวงกำหนด​ โดยมีขั้นตอนดำเนินการ ดังนี้


MEA เปิดบริการชำระค่าไฟฟ้าบางบิลผ่านระบบออนไลน์ ช่วง COVID-19

1. ผู้ใช้ไฟฟ้า ลงทะเบียนขอผัด-ผ่อนชำระผ่าน https://eservice.mea.or.th/meaeservice/

2. MEA พิจารณาข้อมูลของผู้ลงทะเบียน และแจ้งผลการอนุมัติกลับไปยังผู้ลงทะเบียน​ทาง​ SMS
3. ผู้ลงทะเบียน กดยอมรับเงื่อนไขการชำระค่าไฟฟ้าตามที่ MEA กำหนด
โดยทั้งนี้ ผู้ลงทะเบียนจะต้องเตรียมอัปโหลดหลักฐานเอกสารแนบของผู้ผัดหรือผ่อนชำระ โดยแบ่งเป็นกรณี

– กรณีบุคคลธรรมดา
1) เตรียมสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
– กรณีนิติบุคคล
1) เตรียมสำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล อายุไม่เกิน 1 เดือน
2) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้มีอำนาจลงนามรับรอง
3) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ
“สอบท้องถิ่น ” เช็กวัน-เวลา รายชื่อสถานที่ พร้อมกฎระเบียบผู้เข้าสอบ
นอกจากนี้ การขอผัดหรือผ่อนชำระค่าไฟฟ้านั้น ผู้ใช้ไฟฟ้ายังสามารถติดต่อการไฟฟ้านครหลวงเขตใกล้บ้านได้ ในวันและเวลาทำการ ตั้งแต่เวลา 07.30 – 15.00 น. โดยเตรียมใบแจ้งค่าไฟฟ้า และเอกสารประกอบการขอผ่อนชำระ​ติดต่อแผนกการเงิน​ การไฟฟ้านครหวงเขตในพื้นที่

อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถชำระค่าไฟฟ้าใกล้บ้านที่ ศูนย์การค้า Lotus’s ร้าน 7-Eleven และ CenPay ได้แก่ Tops Supermarket Family Mart และCentral Food Hall ทุกสาขา หรือผ่านตัวแทนรับชำระทุกแห่ง รวมถึงช่องทาง e-Payment โดยหักผ่านบัตรเครดิต Mastercard หรือชำระออนไลน์ 24 ชม. ที่ MEA Smart Life Application และ เว็บไซต์ MEA e-Service : https://eservice.mea.or.th ง่าย ๆ เพียงแค่ไม่กี่คลิก
MEA Smart Life ดาวน์โหลดฟรีได้ที่ https://onelink.to/measmartlife
เว็บไซต์ MEA e-Service : https://eservice.mea.or.th


PEA บรรเทาความเดือดร้อนประชาชนจากผลกระทบ โค
วิด-19 สามารถผ่อนชำระค่าไฟฟ้าได้
การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) ช่วยเหลือบรรเทาความ
เดือดร้อน ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกประเภท (ยกเว้นราชการ
รัฐวิสาหกิจ ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่
ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) สามารถยื่น
ความประสงค์ขอผ่อนชำระค่าไฟฟ้าผ่านระบบออนไลน์
ได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
ช่องทางการลงทะเบียนขอผ่อนชำระค่าไฟฟ้า ดังนี้
http://installment.pea.co.th
– แอปพลิเคชัน PEA Smart Plus
http://www.pea.co.th
ทั้งนี้ ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
หมายเลข 1129 PEA Contact Center ตลอด 24 ชั่วโมง

ธนาคารออมสิน ช่วยเหลือ ให้ยืมเงินแก้หนี้นอกระบบ
สินเชื่อออมสิน โครงการธนาคารของประชาชน เพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ ธนาคารออมสิน

ให้ยืมเงิน อัตราดอกเบี้ยคงที่ ร้อยละ 1 ต่อเดือน ชำระคืนในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี

ออกมาเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจเนื่องมาจากวิกฤติการแพร่ระบาด รวมถึงมาตรการควบคุมที่ทางรัฐบาลนำออกมาใช้ ซึ่งหลายคนเลือกการกู้เงินจากนายทุน

ทำให้เกิดเป็นหนี้นอกระบบขึ้นมากมาย โดยหากใครต้องการเคลียร์หนี้นอกระบบ

สินเชื่อออมสิน สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน เพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ ถือเป็นทางเลือกที่ดีทางหนึ่งเลยทีเดียว

ข้อดี คือ เพื่อนำไปแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบที่เกิดจากการประกอบอาชีพ

หรือการอุปโภคบริโภค แต่ต้องไม่เป็นการนำไปชำระ (Re-Finance) หนี้ในระบบ

วงเงินกู้ให้กู้ตามมูลหนี้นอกระบบจริง และตามความสามารถในการชำระหนี้ ไม่เกินรายละ 50,000 บาท

อัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) ร้อยละ 1 ต่อเดือน ค่าธรรมเนียม 100 บาท ต่อสัญญา

สามารถชำระคืนในระยะเวลาไม่เกิน 5 ปี

คุณสมบัติ

-เป็นผู้ที่มีการประกอบอาชีพ มีรายได้ -สัญชาติไทย มีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป

เมื่อรวมอายุของผู้กู้กับระยะเวลาที่ชำระเงินกู้ ต้องไม่เกิน 65 ปี

-มีถิ่นที่อยู่แน่นอน มีสถานที่ประกอบอาชีพ สามารถติดต่อได้ -เป็นผู้ลงทะเบียนหนี้นอกระบบ

(นร.1) สามารถลงทะเบียนได้ในวันที่ขอกู้จากธนาคาร

หลักประกันเงินกู้ : ใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นหลักประกันเงินกู้

เอกสารที่ต้องใช้ในการขอกู้

-สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านผู้กู้ และผู้ค้ำประกัน

-เอกสารแสดงรายได้ในการประกอบอาชีพ สมุดบัญชีเงินฝาก สลิปเงินเดือน (ถ้ามี)

-เอกสารรายรับ / รายจ่าย (ถ้ามี) -รูปถ่ายสถานที่ประกอบอาชีพ

-กรณีใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน นำสำเนาหลักทรัพย์ที่จะค้ำประกันไปด้วย

หลักประกันเงินกู้

ใช้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เป็นหลักประกันเงินกู้

เอกสารประกอบการขอกู้

สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน และสำเนาทะเบียนบ้านผู้กู้ และผู้ค้ำประกัน
เอกสารแสดงรายได้ในการประกอบอาชีพ สมุดบัญชีเงินฝาก สลิปเงินเดือน (ถ้ามี)
เอกสารรายรับ / รายจ่าย (ถ้ามี)
รูปถ่ายสถานที่ประกอบอาชีพ
กรณีใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน นำสำเนาหลักทรัพย์ที่จะค้ำประกันไปด้วย

รัฐบาลฯ เชิญชวน แท็กซี่/วินมอเตอร์ไซค์ อายุเกิน 65 ปี ในพื้นที่ 29 จังหวัด ลงทะเบียนจองคิวรับเงินเยียวยาในระบบ สะดวกรับบริการ/ลดความแออัด ก่อนต้องยืนยันตัวตนด้วยตัวเองที่ขนส่ง เริ่ม 25 ตุลาคม นี้
.
นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าหลังจาก ครม. มีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือกลุ่มอาชีพผู้ขับรถแท็กซี่และรถจักรยานยนต์สาธารณะ ที่มีอายุเกิน 65 ปี ที่ไม่สามารถสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 และประกอบอาชีพขับรถอยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด ผู้ขับรถแท็กซี่และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่ประกอบอาชีพขับรถใน 13 จังหวัด จะได้รับเงินช่วยเหลือ 10,000 บาทต่อคน และผู้ขับรถแท็กซี่และรถจักรยานยนต์สาธารณะที่ประกอบอาชีพขับรถใน 16 จังหวัด จะได้รับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาทต่อคน ความคืบหน้าขณะนี้กรมการขนส่งทางบกเปิดให้ผู้ขับรถแท็กซี่และวินมอเตอร์ไซค์ที่เข้าเงื่อนไข มีรายชื่อในฐานข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก แบ่งเป็นผู้ขับรถยนต์รับจ้าง (แท็กซี่) ประมาณ12,000 คน และผู้ขับรถจักรยานยนต์สาธารณะ (วินมอเตอร์ไซค์) ประมาณ 3,000 คน สามารถลงทะเบียนจองคิวรับบริการได้แล้ว ถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือเว็บไซต์ https://gecc.dlt.go.th

ซึ่งตั้งแต่เปิดให้ลงทะเบียนไปเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม มีแท็กซี่/วินมอเตอร์ไซต์จองคิวผ่านระบบแล้วประมาณ 7,000 คน ถือเป็นการช่วยอำนวยความสะดวกและลดความแออัดตามมาตรการด้านสาธารณสุขก่อนเปิดให้เดินทางมาลงทะเบียนด้วยตัวเองเพื่อยืนยันตัวตนและตรวจสอบเอกสารในวันที่ 25 ตุลาคม นี้

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่จองสิทธิ์ในระบบแล้ว ผู้ขับรถแท็กซี่และวินมอเตอร์ไซค์ต้องเดินทางมาลงทะเบียนด้วยตนเองเป็นการยืนยันศักยภาพในการขับรถสาธารณะเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการ ระหว่างวันที่ 25 ตุลาคม – 5 พฤศจิกายน ณ อาคาร 6 ชั้น 7 กรมการขนส่งทางบก, กลุ่มวิชาการขนส่ง สำนักงานขนส่งกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-4 และกลุ่มวิชาการขนส่ง สำนักงานขนส่งจังหวัดทั่วประเทศ โดยขอให้เตรียมเอกสารให้พร้อม ได้แก่ ใบคำขอเพื่อรับสิทธิช่วยเหลือ (ณ จุดลงทะเบียน) บัตรประจำตัวประชาชน ใบอนุญาตขับรถสาธารณะ บัตรประจำตัวผู้ขับรถสาธารณะ กรณีรถเช่า ต้องมีข้อมูลทะเบียนรถที่เช่าขับและผู้ให้เช่ารถได้ โดยกรมการขนส่งทางบกจะทำการตรวจสอบข้อมูลจากผู้ให้เช่าก่อนรับสิทธิ รถที่ใช้ประกอบอาชีพต้องชำระภาษีครบถ้วน สำหรับการจ่ายเงินช่วยเหลือจะจ่ายผ่านบัญชีพร้อมเพย์เฉพาะการผูกบัญชีพร้อมเพย์กับเลขบัตรประจำตัวประชาชน แบ่งเป็น 2 รอบ ได้แก่ รอบที่ 1 ระหว่างวันที่ 8-12 พฤศจิกายน สำหรับรถจักรยานยนต์สาธารณะและรถแท็กซี่ส่วนบุคคล และรอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 22-26 พฤศจิกายน สำหรับรถแท็กซี่ที่เช่าขับ

“ในส่วนของมาตรการช่วยเหลือกลุ่มอาชีพผู้ขับรถแท็กซี่และรถจักรยานยนต์สาธารณะครั้งนี้ กรมการขนส่วทางบกได้เร่งรัดกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ไว้พร้อมแล้ว จึงขอเชิญชวนแท็กซี่/ วินมอเตอร์ไซค์ อายุเกิน 65 ปี ที่มีสมาร์ทโฟนหรือสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ลงทะเบียนจองคิวไว้ก่อน เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการรับบริการและลดความแออัดตามมาตรการด้านสาธารณสุขด้วย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน เน้นย้ำให้ทุกฝ่ายเร่งดำเนินมาตรการช่วยเหลือและเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบให้รวดเร็วและทั่วถึงทุกกลุ่มอย่างเต็มที่ มาตรการช่วยเหลือเยียวยาต่างๆ เริ่มชัดเจน ส่งผลอย่างเป็นรูปธรรม ต้องขอขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยกันทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว

สินเชื่อบุคคล แคชทูแคร์ เป็นสินเชื่อที่ให้ดอกเบี้ยพิเศษ 12% ใน 12 เดือนแรก ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายจำเป็น และตอบโจทย์ทุกเรื่องสำคัญในชีวิต วงเงินอนุมัติสูงสุด 5 เท่าของรายได้ประจำต่อเดือน หรือสูงสุด 1.5 ล้านบาท ผ่อนสบาย เลือกได้นานสูงสุด 60 เดือน

จุดเด่นสินเชื่อ “cash2care”
วงเงินสูงสุด 5 เท่า ของรายได้ต่อเดือนและไม่เกิน 1.5 ล้านบาท
ดอกเบี้ยพิเศษ 12% – 15% ต่อปี 12 เดือนแรก
สมัครตังแต่ 15 พฤษภาคม – 31 ธันวาคม
ผ่อน 12 – 60 เดือน
ปลดภาระเร็วกว่า อัตราดอกเบี้ยกว่าสินเชื่อบุคคลทัวไป และบัตรเครดิต

สิทธิพิเศษ สินเชื่อ “cash2care”
ลดอัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปี ลดทุกเดือน จากดอกเบี้ยปกติ แค่ใช้บัญชี ทีทีบี ออลล์ ฟรี 5 ครั้ง/เดือน + สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติ (Direct Debit) พร้อมวงเงินอนุมัติสูงถึง 1.5 ล้านบาท ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยจะมีผลในเดือนถัดไปหลังปฏิบัติตามเงื่อนไขครบถ้วน


วงเงินอนุมัติ สินเชื่อ “แคชทูแคร์ cash2care”
ระหว่าง 15,000 – 1,500,000 บาท หรือสูงสุด 5 เท่าของรายได้ประจำต่อเดือน กรณีที่ไม่เคยมีบัญชีสินเชื่อบุคคลกับ ทีทีบี และมีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน จะได้รับวงเงินสูงสุด 1.5 เท่าของรายได้ประจำต่อเดือน และจะมีบัญชีสินเชื่อบุคคลกับสถาบันการเงินต่างๆ รวมกันได้ไม่เกิน 3 แห่ง

ระยะเวลาผ่อนชำระ
นานถึง 1 – 5 ปี

คุณสมบัติผู้สมัคร สินเชื่อ “แคชทูแคร์ cash2care”
พนักงานบริษัท / ข้าราชการ / รัฐวิสาหกิจ

รับเงินเดือนผ่านการโอนเข้าบัญชี โดยมีรายได้ประจำ 20,000 บาท ขึ้นไป
อายุอยู่ระหว่าง 20 – 59 ปี
ทำงานที่ปัจจุบันเกิน 4 เดือนขึ้นไป

ประกอบธุรกิจส่วนตัว

ประมาณการรายได้ต่อเดือน 30,000 บาทขึ้นไป
อายุอยู่ระหว่าง 20 – 59 ปี
ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 2 ปีขึ้นไป (นับจากวันที่จดทะเบียนกิจการ)

เอกสารประกอบการสมัคร
ผู้มีรายได้ประจำ

สำเนาบัตรประชาชน
ต้นฉบับ / สำเนา สลิปเงินเดือน 1 เดือน (ย้อนหลังได้ไม่เกิน 1 เดือน)
สำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 1 เดือน (ที่เห็นยอดเงินเดือนเข้าบัญชี)
กรณีที่มีรายได้อื่นๆ ให้แนบ ต้นฉบับ / สำเนา สลิปเงินเดือน ย้อนหลัง 6 เดือนต่อเนื่อง และสำเนาบัญชีธนาคารย้อนหลัง 6 เดือน
สำเนาสมุดเงินฝากหน้าแรกที่ระบุชื่อ และเลขที่บัญชีของผู้สมัครเพื่อโอนเงินกู้เข้าบัญชี

ประกอบธุรกิจส่วนตัว / เจ้าของกิจการ

สำเนาบัตรประชาชน
กรณีบริษัท สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนบริษัท (อายุไม่เกิน 3 เดือน) และสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (อายุไม่เกิน 3 เดือน)
กรณีห้างหุ้นส่วนจากัด สำเนาหนังสือรับรองการจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจากัด (อายุไม่เกิน 3 เดือน)
กรณีร้านค้า สำเนาใบทะเบียนพาณิชย์ / ทะเบียนการค้า
สำเนาบัญชีธนาคารที่ใช้หมุนเวียนในธุรกิจ ย้อนหลัง 6 เดือน สำเนาสมุดเงินฝากหน้าแรกที่ระบุชื่อ และเลขที่บัญชีของผู้สมัครเพื่อโอนเงินกู้เข้าบัญชี